- พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาว
- ส่องฟากฟ้า เด่นพราวไกลแสนไกล
- ดั่งโคมทอง ส่องเรืองรุ้งในหทัย
- เหมือนธงชัย ส่องนำจากห้วงทุกข์ทน
- พายุฟ้า ครืนข่มคุกคาม
- เดือนลับยาม แผ่นดินมืดมน
- ดาวศรัทธา ยังส่องแสงเบื้องบน
- ปลุกหัวใจ ปลุกคนอยู่มิวาย
- ขอเยาะเย้ย ทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
- คนยังคง ยืนเด่นโดยท้าทาย
- แม้นผืนฟ้า มืดดับเดือนลับละลาย
- ดาวยังพราย ศรัทธาเย้ยฟ้าดิน
- ดาวยังพราย อยู่จนฟ้ารุ่งราง
เพลงของคุณจิตร ภูมิศักดิ์ นามปากกาของท่าน สุธรรม บุญรุ่ง เป็นเพลงที่สร้างพลังให้มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะมืดสักแค่ไหน เพราะเมื่อใดที่มืดสุดๆ ก็จะพบกับความสว่าง
จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ยินเพลงนี้ในค่ายกิจกรรมงานของครู น้ำตามันไหลออกมาไม่รู้ตัว แล้วก็มีโอกาสเข้ากิจกรรมค่ายของครูมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี2550 ในทุกๆครั้งจะร้องไห้อย่างมาก เพราะว่าตอนนั้นรู้สึกว่าชีวิตกำลังเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างที่สุด....ความจริงก็เข้าใจว่าในชีวิตของแต่ละคนต้องผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันทั้งสิ้น แต่พอเจอเข้ากับตัวเอง...พูดไม่ออกบอกใครไม่ได้...แต่ดวงดีโชคดีที่พบสถานที่ที่ได้ระบายหรือถ่ายเทความหนักของตนเองลงได้บ้าง บางครั้งความทุกข์ไม่จำเป็นต้องพูดแต่ขอมีที่ไหนสักแห่งให้ได้พักเรื่องบางเรื่องเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับตนเอง ทุกครั้งที่ไปค่ายก็จะร้องเพลงนี้พร้อมกับร้องไห้แบบชนิดที่ว่าร้องมาก...และก็หวังว่า...มันต้องมีวันหนึ่งที่เป็นของเรา..หวัง...แล้วก็หวัง...
บางทีคนเราก็ลืมที่จะมองตนเอง...เหมือนกับเส้นผมบังภูเขา แต่พอใครมายืนตรงหน้า...ขยี้ตาหรือเช็ดตาต่อหน้าเราเพื่อเอาสิ่งต่างๆที่ติดอยู่ออก เช่นขี้ตา เราก็มักจะคิดว่าตัวเราเองมีอะไรติดเหมือนเขาไหมหน้อ....ก็จะขยับมือหยิบกระดาษมาเช็ดหน้าบ้าง หรือไม่พอคุยกับเสร็จก็จะรีบไปห้องน้ำเพื่อสำรวจว่าตัวเราเรียบร้อยดีไหม?.. ความรู้สึกนี้เหมือนตอนที่เพื่อนในค่ายออกมายืนพูดถึงเรื่องราวของตัวเองที่มีอยู่ เขาเหล่านั้นพูดไปก็ร้องไห้ไปเหมือนได้ระบายให้ใครๆได้ฟ้ง...ดวงดีก็มีโอกาสได้พูดแต่พอถึงตัวเองจบไม่ลงจำได้ว่าเริ่มเล่าเรื่องราวเมื่อ 20-ปีที่แล้วให้เพื่อนฟัง นั้นอาจเป็นเพราะว่าดวงดีติดอยู่กับเวลานั้นมากที่สุด เวลาที่สูญเสียคนที่รักไป...คุณพ่อของดวงดี...ซึ่งมันก็ผ่านมานานแล้ว...โตแล้ว ....แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจจนถึงปัจจุบัน...ซึ่งไม่จำเป็นต้องเล่าให้ใครฟ้งก็ได้...เพราะในโลกนี้ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า...การพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา..แต่ก็ยังจะเล่าให้เพื่อนๆฟัง..แล้วก็วกวนไปวกวนมาจนจบไม่ลง เป็นเพราะดวงดีสร้างกอบให้ตัวเองมาตั้งแต่นั้น...ละมัง...
- นั่งฟังเพื่อนเล่าถึงชีวิตที่เขากำลังเผชิญอยู่แล้วร้องไห้...แต่แปลก...รู้นะว่าทุกข์ของเพื่อนๆคืออะไร..แต่ใจมันแว้บ...ภาพของตัวเอง...โอ..ในโลกใบนี้นะ..ไม่ใช่เราคนเดียวที่มีทุกข์...ยังมีเพื่อนอีกหลายๆคนที่เขาทุกข์ยิ่งกว่าเราเสียอีก...ทุกข์อะไรเล่าจะทุกข์เท่าลูกที่เกิดมาทุกข์ทรมารร่างกายไม่ครบ 32 (ทุกข์ของเพื่อน)
- ทุกข์อะไรเล่าที่สามีไปมีบ้านเล็ก..บ้านน้อย..(ทุกข์ของเพื่อน) ทุกข์อะไรเล่าที่พี่น้องไม่เข้าใจกัน อุบัติเหตุทางความคิด( ทุกข์ของเพื่อน) ทุกข์อะไรเล่าจะทุกข์เท่าสูญเสียคนที่รัก..พ่อ...แม่..พี่...น้อง..และเพื่อน...
- ทุกข์ใดเล่าจะทุกข์เท่าการที่เสียรู้คนที่เรารักและศรัทธา(ทุกข์ของเพื่อน).....ความทุกข์ของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามขนาดและอาณาเขตหรืออาณาจักรของแต่ละคน...
ความสุขหรือความทุกข์ไม่สามารถตักหรือตวงขึ้นมาชั่ง หรือวัดค่าว่าความสุขหรือทุกข์ว่าแต่ละคนมีมากน้อยต่างกันแค่ไหน แต่ความทุกข์สามารถทำให้รู้สึกเบาได้ เมื่อเรารู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่ทุกข์...เป็นเพราะดวงดีมองที่เขาทุกข์มากกว่า..ก็เลยทำให้ดวงดีรู้ว่าทุกข์ที่มีอยู่นั้นเบาเหลือ..หลังจากกลับจากค่ายในแต่ละครั้งดวงดียอมรับในสิ่งที่มี และในสิ่งที่เป็นกล้าเผชิญกับอุปสรรคทุกรูปแบบจนก้าวพ้นคำว่าทุกข์ในขณะนั้นมาได้แล้วความรู้สึกมัน...เพี้ยวจริงๆ...อย่างที่คุณครูท่านบอกว่าเวลาที่คนเราผ่านเรื่องร้ายๆจะมีความรู้สึกแบบนี้แล้วฉันก็ได้พบกับความรู้สึก...เพี้ยว..คือในหัวมันโล่ง..จริงๆ
พอตัวเองก้าวข้ามผ่านมันมาได้ก็นึกถึง...คนใกล้ตัวที่กำลังเผชิญเหมือนที่ตนเองได้เผชิญมาแล้วก็อยากจะนำสิ่งนั้นไปบอกกล่าวกับเพื่อนๆ แต่มันยากเหลือเกินเหมือนกรรมของแต่ละคนแตกต่างกัน
พร้อมกันนั้นก็มองย้อนกับไปถึงบุคคลที่ทำให้ดวงดีได้ปลดล็อกตัวเองออกมาได้ "ศรัทธา"ในงานที่ท่านได้ทำทำให้อยากดำเนินรอยตามท่านเพื่อปลดล็อกให้กับเพื่อนของดวงดี ให้เขามีความสุขอยู่บนความทุกข์ได้อย่างสบายใจ แม้จะเป็นหยดน้ำ 1 หยดที่รอคอย ทนแดด ทนร้อน อยู่เพียงลำพัง เพื่อให้เกิดหยดน้ำหลายหยดจนกลายเป็นสายน้ำ ที่พร้อมจะให้โอกาสทางความคิดอย่างที่เคยได้รับมากับเพื่อนๆของดวงดีบ้างเพราะดวงดีเชื่อใน
คำพูดของครูว่า" ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่เราคิด แล้ววันหนึ่งมันก็สามารถเป็นรูปธรรมจำต้องได้ เรามีความศรัทธาในตัวเรา กระบวนการเรียนรู้ที่ผ่านมาทั้งสิ้นมันจะกลายเป็นที่ปรึกษาทางจิตให้แก่เราเมื่อเรามีปัญหาและอุปสรรคใด"
ทุกท่านคะ เคยไหมที่บางครั้งคนเรา เคยเห็นคำบางคำ วลีบางวลี ประโยคบางประโยค หลักการทั่วๆไป แต่คนส่วนใหญ่
อ่าน ......แต่ไม่เข้าใจ
เข้าใจ ......แต่ไม่ลึกซื้ง
ลึกซึ้ง.......แต่ไม่แตกฉาน
แตกฉาน.....แต่นำไปใช้ไม่เป็น
ในขณะที่ท่านกำลังฟ้ง...กำลังอ่าน...กำลังคิด...กำลังพิจารณา อาจจะมีความคิดดีๆแวบเข้ามาในหัวสมองของท่าน ท่านอาจจะพบ
อัญมณีแห่งสัจจะธรรม....อันประมาณค่ามิได้
แรงบันดาลใจ...ที่มันซ้อนอยู๋ในตัวเราเพื่อขับเคลื่อน ไปสู่ความสำเร็จ
ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ต่อสู้ ฟันฝ่าอุปสรรค
อิทธิพลของเป้าหมายที่ชัดเจนของชีวิต เดินเรือต้องมีเข็มทิศ ชีวิตต้องมีเป้าหมาย การค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตนเองก่อนจะลงมือทำการใดก็ตาม จงอยู๋ในที่เงียบๆ เพื่อค้นหาความต้องการของตนเองแล้วถามตนเองว่า
" เราเกิดมาเพื่ออะไร ? เราเกิดมาทำไม? "
ลองทบทวนสิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่สามารถย้อนกลับได้
สายน้ำ....ไหลไปแล้วไม่มีไหลย้อนกลับและสายน้ำมันจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ
คำพูด......เป็นสิ่งที่เราต้องกลั่นกรองหรือคิดทุกคำที่จะพูด แต่อย่าพูดทุกคำที่คิด เพราะก่อนพูดเราเป็น
นายมัน แต่หลังพูดมันเป็นนายเรา
เวลา ......เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถเรียกคืนมาได้ นาฬิกาแตกหักเสียหาย สามารถซื้อหามาทดแทน
ได้ แต่เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า ที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถเรียกคืนมาได้เลย
โอกาส.....โอกาสทางความคิด ท่านมหาตมะ คานธี มหาบุรุษเอกของโลกได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า ...มนุษย์
คือจุดศูนย์กลางของเส้นรอบวงที่ไม่มีขีดจำกัด มนุษย์เหมือนกันแต่ทำไมประสบความสำเร็จแตก
ต่างกันเพราะนั่นเราได้รับโอกาสทางความคิดที่แตกต่างกันนั่นเอง
แล้วถามตัวท่านว่า....ถ้าวันนี้ท่านมีชีวิตเหลืออยู่เป็นวันสุดท้าย
ท่านอยากจะบอกอะไรใครมากที่สุด....อยากจะขอโทษใคร....เรื่องอะไร....แม้วันนี้ท่านจะทำสิ่งใดผิดพลาด แต่อยากจะบอกว่าให้ท่านรู้ว่าจะมีคนคนหนึ่งที่คอยเข้าใจและให้อภัยท่านเสมอ...ท่านว่าจริงไหม..
ถ้าท่านรู้สึกว่าตอนนี้ท่านกำลังเผชิญกับความทุกข์อยู่ ลองร้องเพลงนี้ในตอนที่รู้สึกแย่สิคะ...มันอาจช่วยคุณได้
" ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ"
" ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ"
ขอบคุณ คุณสุธรรม ที่แต่งเพลงดีๆอย่างนี้ออกมาสร้างพลังและกำลังใจให้กับผู้คน
ขอบคุณ ครู ที่สอนให้เข้าใจหาเนื้อหาของเพลงนี้ได้มากขึ้น ทำให้เข้าใจ ลึกซึ้ง แตกฉาน และนำไปใช้กับชีวิตของตนเอง ครูเหมือนแสงดาวที่อยู่ท่ามกลางความมืด เพียงแค่ดาวดวงเล็กที่มองไปรู้สึกว่าไกลมากๆ ยังสามารถทำให้เราปลอดภัยได้ เราจะไม่หลงทางอีกต่อไปอุ่นใจเพราะรู้ว่าถ้าเราได้เดินตามดาวดวงนั้นไปเราจะถึงที่หมายที่เราได้ตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตของเรา
ก่อนจบบทนี้ ดวงดี มี ของฝากจากหลวงพ่อปัญญามาฝากคะ
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว ไม่เป็นขุนนางนะได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้ มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ก็สายเกินไป อย่าหวังว่าจะได้รับความรักจากคนที่คุณรัก เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณหมดทุกคน โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก อยู๋ให้ไว้ในใจ ไปให้คิดถึง คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ ยิ่งศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป - จบบทคะ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น